#KMI_เปิดโรล
โนกามิยืนอยู่ในห้องแสดงนิทรรศการของหอศิลป์คูเมอิ ที่นี่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้ายามย่ำเดิน มีเพียง(คุณ)และเขาเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ตรงหน้าเป็นภาพวาดสีน้ำมันในกรอบทอง
“ศิลปินที่วาดภาพนี้เคยพูดว่าศิลปะของเขาไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เป็นการบันทึกความทุกข์ของตัวเอง” โนกามิกล่าวโดยไม่ได้หันมองคุณที่ยืนข้างๆ
“เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดเสียงกรีดร้องในใจที่ไม่มีใครได้ยิน”
โนกามิยืนอยู่ในห้องแสดงนิทรรศการของหอศิลป์คูเมอิ ที่นี่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้ายามย่ำเดิน มีเพียง(คุณ)และเขาเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ตรงหน้าเป็นภาพวาดสีน้ำมันในกรอบทอง
“ศิลปินที่วาดภาพนี้เคยพูดว่าศิลปะของเขาไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เป็นการบันทึกความทุกข์ของตัวเอง” โนกามิกล่าวโดยไม่ได้หันมองคุณที่ยืนข้างๆ
“เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดเสียงกรีดร้องในใจที่ไม่มีใครได้ยิน”
Comments
”อย่างงั้นเหรอครับ?“ แตะคางเอียงคอพิจารณาภาพวาดนั่น
เขารับรู้ถึงความทรงพลัง ชื่นชมมัน แต่ไม่ได้เข้าใจมันลึกซึ้งแบบอีกคน
(+)
อาจารย์ศิลปะตอบตามตรง หากไม่อ่านประวัติศิลปินคงยากจะคาดเดาว่าเขาพบเจออะไรมาบ้าง ศิลปะไม่ได้จบแค่ในภาพหนึ่งภาพแต่มันคือเรื่องเล่าชีวิตของศิลปินฉบับย่อ เพราะคิดเช่นนั้นเขาจึงศึกษาประวัติของเหล่าอาร์ตติสประกอบไปด้วย
+
โนกามิพูด ดวงตายังมองไปด้านหน้าราวกำลังเลื่อนลอยในความคิด
"คุณทำงานที่นี่เหรอครับ?"
ว่ากันว่าสถานที่มักรวบรวมผู้คนแบบเดียวกันเอาไว้ ตัวเขาออกจะอยู่ผิดที่ไปหน่อย เทียบกับคนข้างๆ ที่ดูแทบจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับที่แห่งนี้
คิดว่าคนๆ นี้อาจไม่ได้แค่ชอบงานศิลปะมากๆ แต่คงจะมีบทบาทร่วมไปกับมันด้วยแน่ๆ
คุกะอยากใช้เวลาเงียบๆจึงหลบตัวหนีมาอยู่ในที่ที่คาดว่าเงียบที่สุดในเมืองอย่างหอศิลป์ ดังนั้นพอได้ยินเสียงพูดจากใครสักคนจึงใช้เวลาพักนึงกว่าจะตอบ
“บันทึกความเจ็บปวดไว้กลับมาดู เป็นศิลปินที่มาโซคิสต์จังนะ“
นั่นไม่ใช่ความเห็นที่ดีเท่าไหร่
เขาก็ไม่ได้มองหน้าคนพูดด้วยเช่นกัน ทีแรกไม่สนใจกระทั่งภาพแต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนไปตั้งใจมอง
ในที่สุดโนกามิก็ละสายตาจากรายละเอียดบนภาพวาดตรงหน้า เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงตั้งคำถามให้คู่สนทนา
อีกฝ่ายดูเหมือนจะอยู่ในวัยเรียน บางทีอาจเป็นนักเรียนคนหนึ่งของเขาก็ได้
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่กลับบ้านไปเขียนบันทึกไดอารี่ บอกเล่าความเจ็บปวดที่เผชิญระหว่างวันบันทึกเก็บไว้อ่าน เธอคิดว่าพวกเขาเป็นพวกมาโซคิสม์ด้วยไหม?” เสียงทุ้มที่เรียบเฉยเอ่ยถามกลับ
“คิด”
โคลงหัวมองภาพวาด ยังไม่ค่อยไม่เข้าใจว่ามันสื่อความแบบที่อีกคนพูดยังไง ก่อนจะหันมาอธิบายต่อ
“ผมไม่เห็นอยากจำว่าอดีตเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น ไม่ว่าจะบันทึกให้ตัวเองหรือเปิดเผยให้คนอื่นรู้“
”แล้วคุณเป็นคนแบบไหน“
“ต่อให้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน ก็ใช่ว่าเหตุผลที่ซ่อนอยู่ใต้ผลลัพธ์นั้นจะเหมือนกันเสมอไป” โนกามิตอบ
“เธอคิดว่าคนที่เขียนบันทึก เป้าหมายของพวกเขาคือเพื่ออะไรกันล่ะ เพื่อเก็บความเจ็บปวดไว้สนองตัวเองอย่างที่เธอว่า? เพื่อเก็บสะสมอดีตไว้เหมือนคนสะสมของเก่า? เพื่อเรียบเรียงทำความเข้าใจความผิดพลาดของตัวเอง?”
“ความจริงแล้วพวกเขามีเจตนาที่หลากหลายมาก”
+
“เธออาจจะมองว่าการกล่าวถึงความเจ็บปวดคือมาโซคิสม์ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาอาจมองว่าภาพวาดหรือบันทึกคือการหันหน้าเผชิญความเจ็บปวดของตัวเอง”
“...และคนที่กักเก็บมันไว้ไม่เผชิญหน้ากับมัน ไม่พูดถึง ทำเหมือนมันไม่มีอยู่ก็อาจจะเป็นมาโซคิสม์ในสายตาพวกเขาเช่นกัน”
+
“ระหว่างการเผชิญหน้าความเจ็บปวดเพื่อเสพย์ความเจ็บนั้นสนองตัณหาของตัวเองกับการเผชิญมันเพื่อร้อยเรียงทำความเข้าใจ ไม่คิดบ้างเหรอว่ามันมีเส้นแบ่งหนา ๆ คั่นอยู่”
ผู้เป็นอาจารย์อธิบายยาวเหยียดราวกับจงใจเมินเฉยต่อคำถามสุดท้าย
”เป็นเสียงกรีดร้องที่งดงามดีทีเดียวครับ“
ใช้เพียงหางตาพิจารณาคนข้างตัวโดยไม่หันไปหา ฮาซามะ ยูริผู้ใช้เวลาในวันหยุดกับการเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อย—ผงกศีรษะเล็กน้อยจนผมหยักศกไหว ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปดูภาพวาด
”ศิลปินนี่ มีรสนิยมชอบทิ้งความเจ็บปวดแบบมือสองไว้ให้คนอื่นรับรู้ต่อเสมอเลยนะครับ“
“ศิลปินคือผู้ทำหน้าที่สื่อสาร งานของเขาคือการบอกเล่า แต่การรู้สึกเป็นงานในส่วนของผู้ชม” เขากล่าว
“หากคุณร่วมรู้สึกไปกับมัน แสดงว่าคุณคงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในความเจ็บปวดมือสองชิ้นนี้โดยไม่รู้ตัวไปแล้ว ปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกนะครับ”
+
“เป็นเสียงกรีดร้องที่ไพเราะมาก”
ยูริใช้คำว่า ‘พวกเรา‘ ที่หมายถึง ‘ยูริ‘ และ ’ศิลปิน’ หรืออาจจะนับรวมไปถึงคนอื่นนอกเหนือจากนั้นด้วย
“ผมเห็นภาพตัวเองสมรู้ร่วมคิดกับเขา จับมือเขากดมีดลงให้บาดลึกขึ้น และสุดท้ายความรู้สึกผิดก็เทลงมาในใจอย่างกับทราย ไม่มีช่องว่างให้เสียงกรีดร้องสักนิด“
เขาหันไปหา—เพื่อนร่วมวงการ
+
ทันตแพทย์หนุ่มผู้วนเวียนอยู่ในแวดวงงานวิจัยทางการแพทย์ระดับโลกกล่าวทักทาย โค้งศีรษะให้นิด นัยน์ตามืดมิดมีแววสนใจใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง
“ผมคิดว่าผมน่าจะเคยเจอคุณมาก่อนนะ”
โนกามิใช้คำว่า ‘พวกเรา‘ ที่หมายถึง ‘โนกามิ‘ และ ’ศิลปิน’ หรืออาจนับรวมถึงคนอื่นนอกเหนือจากนั้นด้วย
ประกายในดวงตาของเขาขยับไหวเบา ๆ ในชั่วขณะหนึ่งตอนที่ฟังความเห็นที่น่าสนใจจากชายตรงหน้า แม้ใบหน้าของเขาจะยังเรียบเฉยราวประติมากรรมหินอ่อนไม่แสดงความยินดียินร้ายก็ตาม
+
นานครั้งที่เซียวมะเกิดนึกสนใจอยากลองเข้ามาในพื้นที่พิพิธภัณฑ์ คล้ายอยากสำรวจในที่ที่ตนเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป ดวงตาสีเนื้อไม้เอลเดอร์พินิจพิเคราะห์งานภาพ ทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ทักษะการวาดที่สวยงามคือสิ่งที่เขาตระหนักได้ว่ามันงามมาก
"... โห งั้นหรอกหรอครับ?" เสียงคนคุ้นเคยดังในจังหวะที่เขาค่อนข้างพึงสนใจอยู่เสมอ ราวกับรู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไรอยู่โดยนัย
+
"แถมยังวาดได้ดุดีออกมาแบบนี้ ถ้าทางคุณไม่อธิบาย ผมก็คงคิดว่าเป็นเพียงภาพๆ หนึ่งที่เขาวาดด้วยเจตนาทางหัวศิลป์ทั่วไป"
"แต่ความทุกข์ของเขากลับมีคนชื่นชม ทำเอารู้สึกผิดไม่น้อยเลยนะเนี่ย" เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แต่สายตายังคงมองภาพวาดอยู่เนืองๆ
“แต่ละคนมีวิธีระบายความทุกข์ต่างกัน วาด เขียน เต้นรำ หรือกระทั่งยืนนิ่ง ๆ กลางสายฝน” เขากล่าวเสียงเรียบเหมือนไม่ได้กำลังพาดพิงใคร
“ศิลปินคนนี้อาจคิดว่าการเปลี่ยนเสียงกรีดร้องในใจเป็นเส้นสีที่หนักแน่นบนแคนวาสจะช่วยเขาได้”
+
“หากคุณรับรู้ความรู้สึกที่ศิลปินต้องการถ่ายทอดออกไปแล้ว ก็คงเหมือนการพูดแล้วมีคนได้ยินนั่นแหละ”
“เพราะอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไปหรอก หรือหากจะรู้สึกนั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน”
“ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ขนาดนี้ ต้องรู้สึกแย่ขนาดไหนถึงได้อยู่กับมันยาวนานจนวาดภาพจบลงได้” ความเศร้าเป็นเหมือนกับฝน มีตกหนักตกเบา
และท้ายสุดมันจะหยุดไปเอง
+
“ว่าแต่คุณมาเที่ยวที่นี่ตลอดหรือเปล่าครับ” เขากำลังเดาว่าคงมาเพื่อหาแนวทางสอนเด็กชัวร์... พอคิดแบบนั้นก็เริ่มคิดหนัก ถ้าเกิดขอแลกคาบหรือขอคาบศิลปะสอนเลขเด็กขึ้นมาเขาจะโดนดุไหมนะ(...)
.
.
”งั้นเหรอ?“
คำตอบจากนักสืบเอกชนเอ่ยท้วงถามตอบรับแทนคำทักทาย คิ้วหนาใต้ทรงผมชี้ฟูดูรกตามัดรวบไว้ด้านหลังท้ายทอยเลิกขึ้นบนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาคู่สองสีหันมองชายด้านข้างสุดแสนจะคุ้นตา หวนระลึกและทบทวนบางอย่างบนพื้นที่ว่างเปล่ารอบกายตน
“หรือคงเป็นเพราะ ไม่มีเสียงไหนจะดังเทียบเท่าเสียงกรีดร้องบนความทุกข์อันเกิดจากความผิดภายในจิตใจตนเอง“
(+)
คนร่างใหญ่ใต้โค้ทยาวคอปกตั้งสีน้ำตาลกลับมายังงานศิลป์ตรงหน้า กล่าวในสิ่งนึกคิดบนข้อมูลเล็กน้อยตามมโนภาพที่ก่อร่างสร้างตัวจากคำบอกกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะกับกายวิภาคมนุษย์
คงไม่ต้องให้แนะนำตัวกันซ้ำ ครั้งหนึ่งโซฮาระเคยขอให้อีกฝ่ายช่วยงานตน นักสืบคนนี้บ้างานอย่างแสนสาหัสเลยล่ะ
เพียงแต่วันนี้ เขาไม่ได้มาเพื่อการนั้นหรอก
ดูเหมือนพวกเขาสองคนมีดวงจะต้องมาพบเจอกันโดยบังเอิญอยู่บ่อย ๆ จนบางครั้งโนกามิก็ชักสงสัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจตามเขามาไหมนะ
“ที่คุณว่ามามีส่วนถูก”
ศิลปินหลายคนใช้ความรู้สึกเป็นวัตถุดิบของตัวเอง พวกเขาเหมือนลูกโป่งที่ถูกเติมน้ำใส่จนหนักอึ้ง แต่ก็ไม่แตก
+
"มนุษย์ทุกคนล้วนแบกรับอารมณ์ที่ซับซ้อนเอาไว้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้วิธีที่จะสื่อสารมันผ่านภาพวาดหรืองานศิลปะ”
โนกามิยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าภาพติดผนังชิ้นเดิม สายตาลากไล้ไปตามพื้นผิวหนา ๆ ของสีน้ำมันที่ถูกป้ายลงมาบนเฟรม มันแฝงด้วยความรู้สึกที่รุนแรง
“เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่าศิลปิน”
+
ภาพวาดที่เป็นเหมือนคำขอโทษในคดีฆ่าคนตาย)
"... ฉันนึกสงสัยว่าーมีใครเคยได้ตอบโต้เขาในเรื่องนี้หรือเปล่าจ้ะ"
คนที่รูปลักษณ์แตกต่างจากอีกฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิงรำพึงขึ้นมา ข้อนิ้วเขาลากเบาๆบนพื้นที่ใต้ริมฝีปากล่าง
"คล้ายกับภาพคิวปิดภาพนั้น? ความรักที่เอาชนะศาสตร์และศิลป์ทุกอย่างได้" พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขากลั้วหัวเราะขณะหันมองคู่สนทนา "นอกจากบาลยิโอเนแล้ว.. มีใครไหมหนอ ที่อยากรบรากับคาราวัจโจอีก?"
“หากพูดถึงคู่แข่งอีกคนหนึ่งของคาราวัจโจผมคงนึกถึงกุยโด เรนี” เขาตอบคำถามโดยมองข้ามภาพลักษณ์
“หากคู่ท้าชิงอย่างบาญโยเนเปรียบเหมือนดาร์คช็อคโกแลตที่แข่งกันว่าใครจะเข้มข้นถูกปากลูกค้ามากกว่า.."
+
“นักวิชาการด้านศิลปะหลายคนไม่ได้มองทั้งสองเป็นคู่แข่งกับเหมือนบาญโยเน คงเป็นเพราะรสขมฝาดเข้มข้นของดาร์คช็อคโกแลตกับสัมผัสหอมหวานนุ่ม ๆ ละมุนละไมของเครมบรูเลนั้นต่างกันและวัดกันไม่ได้ กลุ่มเป้าหมายเองก็ต่างกันด้วย”
+
“ขอโทษนะครับที่ดันเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวกับผลงานสักเท่าไหร่ แต่อะไรบางอย่างในตัวคุณทำให้นึกถึงกลิ่นหอมของขนมขึ้นมา”
กล้ามเนื้อข้างริมฝีปากของโนกามิขยับยกขึ้นเล็กน้อย..แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“คุณดูจะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะอยู่ สนใจงั้นเหรอ”
"เคยมีคนสอนให้ ว่าอย่างนั้นคงได้จ้ะ" เทรุพยักหน้ารับ ศีรษะเอนไปด้านข้างนิดหนึ่งขณะที่ขอบตายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "น่าเสียดายที่เราเล่าเรียนกันในเบอร์ลินเป็นหลักーอย่างแสนสั้นーเวลาในแกเลอรีที่อื่นเลยจำกัดไปด้วยนี่ซิ"
ระหว่างที่ผินศีรษะลง เขายกข้อมือขึ้นจรดปลายจมูก
+
"คุณอาจแปลกใจ แต่รสที่ฉันชอบในงานศิลป์ไม่ใช่รสเข้มข้นอย่างกีโด หรือคาราวัจโจก็ตาม" เขาปล่อยมือตกลงข้างตัวอย่างเดิม ศีรษะหันมองรอบๆ ห้อง ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมาหาอีกฝ่าย
+
Pictured: Love Victorious (Caravaggio, circa 1601); Divine Love Conquering Earthly Love (Baglione, circa 1602))
พูดกับเราหรือเปล่านะ?
แต่ตอบก็คงไม่เสียหายหรอกมั้ง...
"แปลว่าศิลปินเขาแทนตัวเองเป็น เอ่อ..." ลากมือผ่านลำคอตนเองอย่างหมายถึงหัวของโกไลแอตที่อ้าปากเหมือนกรีดร้อง "เหรอคะ?"
โนกามิหันไปหาคู่สนทนา การที่เธอทำท่าปาดคอทำให้รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงภาพคนหิ้วศีรษะที่อยู่ด้านหลัง ดูเหมือนเธอจะให้ความสนใจกับภาพนั้นมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ถ้าตามที่นักวิเคราะห์ศิลปะศึกษากันมา ดูเหมือนจะว่าไว้แบบนั้น” เขาตอบ
เพราะไม่อาจตัดสินความคิดแทนตัวศิลปิน การยกผลวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญมาจึงอาจตอบโจทย์มากกว่า
+
อาจารย์วิชาทฤษฎีศิลป์กล่าวราวกับเขากำลังบรรยายอยู่หน้าชั้นเรียน
“เป็นคำขอโทษที่รุนแรงน่าดู”
"ทำถึงขนาดนี้ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าไหม"
"เขาทำผิดร้ายแรงแบบไหนไว้เหรอคะ?" ขยับกลับมายืดหลังตรงเหมือนเดิม วินาทีถัดไปก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากตนแล้วปัดมือไปมาเหมือนว่าให้เมินคำถามเมื่อครู่ไปเสีย
"อ๊ะ!ขอโทษค่ะ คุณกำลังดูอีกภาพอยู่นี่นา"
+
.oO(แต่ที่อธิบายก็ดูเข้าเค้า? อาจจะพูดเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศก็ได้ ไม่สิ ถึงพูดด้วยก็ไม่ควรถามเหมือนเขาเป็นคนนำทัวร์แบบนั้นสิ บ้าจริง)
“เท่าที่เคยศึกษามา มันคือคำกล่าวขอโทษที่เขาดันไปก่อคดีฆาตกรรมขึ้น ศีรษะที่ถืออยู่ในมือดูเหมือนจะเป็นใบหน้าของเขาเอง”
+