#THK_EVENT_03 #THK_ทานาบาตะ #THK_โรลเปิด
[19:00น.]
ใต้แสงเทียนและโคมไฟที่ไหววูบในค่ำคืน เสียงกระดิ่งลมดังแว่วแทรกกับเสียงหัวเราะและความครึกครื้นของผู้คนในงานเทศกาล
ดวงตาสีดำสนิททอดมองคำอธิษฐานนับร้อยที่ห้อยระย้าจากต้นไผ่ ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบางออกมา
“คำอธิษฐานพวกนี้…น่ารักดี”
เป็นอีกปีที่ไร้ซึ่งสิ่งใหม่ น่าเบื่อเหมือนทุกครั้ง..
แต่ก็ยังพอมีอะไรให้อ่านฆ่าเวลาอยู่บ้าง
[19:00น.]
ใต้แสงเทียนและโคมไฟที่ไหววูบในค่ำคืน เสียงกระดิ่งลมดังแว่วแทรกกับเสียงหัวเราะและความครึกครื้นของผู้คนในงานเทศกาล
ดวงตาสีดำสนิททอดมองคำอธิษฐานนับร้อยที่ห้อยระย้าจากต้นไผ่ ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบางออกมา
“คำอธิษฐานพวกนี้…น่ารักดี”
เป็นอีกปีที่ไร้ซึ่งสิ่งใหม่ น่าเบื่อเหมือนทุกครั้ง..
แต่ก็ยังพอมีอะไรให้อ่านฆ่าเวลาอยู่บ้าง
Comments
" นิสัยไม่ดีเลยนะ… "
เสียงติดทุ้มดังขึ้นจากข้างหลังโดยไม่มีสัญญาณเตือน ราวกับเจ้าของเสียงเพิ่งเดินมาถึงไม่นาน
" เดี๋ยวนี้แอบอ่านคำอธิษฐานของคนอื่นเขาเลยหรอ "
เอียงตัวโผล่มาจากข้าง ๆ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่
ปลายเสียงคล้ายว่าอยากหัวเราะ แต่ก็กดไว้จนเหลือเพียงความเนิบนาบที่ชวนให้นึกถึงรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
" ว่าแต่.. ของเธออยู่ตรงไหนล่ะ? "
กลิ่นอายอ่อนๆแม้จะไม่ได้สังเกตุในคราแรกแต่ก็เด่นชัดขึ้นยามที่เขาเอื้อนเอ่ยทักทายออกมา
"เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า...ฉันก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองนิสัยดีตั้งแต่แรกนี่?"
ผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกที่ว่าเป็นใคร
"ไม่มีหรอก"
ใบทังซากุของเธอน่ะ...
เหอะ...
"ไร้สาระ"
เสียงเรียบฟังดูหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับยืนยันสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
" แค่พูดย้ำไว้.. ไม่ให้เจ้าตัวลืมจนหลงคิดว่าเป็นคนดีในซักวัน "
เขาเดินอ้อมมายืนข้างหญิงสาวอย่างไม่รีบร้อน สายตากวาดมองต้นไผ่และคำอธิษฐานนับร้อยที่ไหวอยู่กลางลมเอื่อย แล้วปรายตามาทางเคียวโกะอีกครั้ง
" ไม่ลองเขียนซักหน่อยหรอ เทศกาลมีปีละครั้งนะ"
+
คิกー
ไม่นานเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอก็ดังขึ้นพร้อมกับมุมปากที่เหยียดยิ้มมากกว่าเดิม
"มันก็แค่เศษกระดาษโง่ๆ..."
นัยตาสีดำสนิทเหลือบมองใบทังซากุที่พลิ้วไหวตามแรง
"สุดท้ายแล้วพองานนี้จบลง...พวกมันก็แค่ขยะ..."
เพราะงั้นถ้าจะให้ทำอะไรไร้สาระแบบนั้นล่ะก็...ขอผ่านดีกว่า....
" นั่นฟังดูมีจิตสำนึกและรักโลกไม่เบา "
เสียงของเขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ คล้ายจะเห็นด้วย แต่ปลายเสียงกลับติดแววขบขันล้อเลียนคล้ายว่าอยากจะหัวเราะออกมาเสียที
คิเคียวหันไปทางอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบมองใบทังซะกุเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
" อยากรู้จังกว่าเคียวโกะจังมีสิ่งที่ปรารถนากับเขารึเปล่าน้า... "
+
เสียงเย็นเอ่ยขึ้น ฟังเผินๆอาจคิดว่าเป็นแค่เสียงลอยมาจากใครสักคนรอบข้าง แต่ก่อนที่ความสงสัยจะจางไปเจ้าของเสียงก็โผล่หน้าออกมาจากด้านข้างเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดกับอากาศ
เป็นหญิงสาวในชุดยูกาตะดำสนิทตั้งแต่เส้นผม ดวงตาจรดปลายเท้า ในมือตะกองกอดเจ้าตุ๊กตาฟางในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม
ไม่อาจทราบสาเหตุที่เข้ามาทักได้ เธอทำเพียงยืนจ้องตาไม่กระพริบ
จนปรากฏร่างของสตรีสีดำที่บรรยากาศรอบตัวชวนให้ขนลุกวาบอย่างบอกไม่ถูก
นัยตาสีทมิฬเหลือบมองคนแปลกหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับค้างไว้เช่นทุกคราแต่มันกลับยกมากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยยามได้เห็น'เธอ'
+
เสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้นเบาๆขณะที่เธอยกมือข้างนึงขึ้นโบกทักทายหยอยๆ
"สวัสดี?"
น้ำเสียงหวานใสเจือเสียงหัวเราะดังขึ้นในขณะที่ดวงตาจ้องมองคู่สนทนาคนใหม่ตาไม่กระพริบ
"หลงทางหรอ?"
แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแค่เอ่ยถามหยอกล้อตามประสาก็เท่านั้นเอง
นั่นทำให้แววตาของหญิงสาวปริศนาเกิดประกายบางอย่างขึ้น—ไม่ใช่ความดีใจ หากแต่เป็นความ'สนใจ'
คอเรียวเอียงช้าๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายโบกมือ เมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรเธอก็ยกมือขึ้นบ้าง ท่าทีงุนงงอย่างคนที่ไม่คุ้นชินกับท่าทางระหว่างที่ตนส่ายหน้าปฏิเสธ
+
หญิงสาวในชุดยูกาตะสีดำปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหัน หรือถ้าพูดให้ถูกคือนางได้ยืนอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้วหากแต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเสียมากกว่า
เรือนผมสีดำขลับราวกับถ่านพลิ้วไหวเบาๆ นัยน์ตาจับจ้องกระดาษทังซากุบนต้นไผ่อย่างเงียบงันยากจะคาดเดาความคิด
ก่อนจะเปรยขึ้นลอยๆคล้ายว่ากำลังคุยอยู่กับอากาศ
“น่ารักเหรอ”
“อืม…ก็คงจะเหมือนกับปลาที่เขียนจดหมายในขวดลอยน้ำ”
เหลือบสายตามองตามเสียงที่ดังขึ้น แม้จะเป็นแค่คำพูดที่ดูพูดขึ้นลอยๆ...แต่ก็ดูจะต่อบทสนทนาได้อย่างพอดิบพอดี...
และเมื่อรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือใคร มุมปากที่เปื้อนยิ้มอยู่ทุกคราก็คลี่ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม
นัยตาสีทมิฬหลุบลงพิจารณาสตรีสีดำเบื้องหน้าอย่างสนใจก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ
คิก...คิกๆー
"พึ่งรู้ว่าปลาเขียนตัวหนังสือเป็นด้วย?"
"คิก...น่าสนใจจังนะ..."
ก่อนจะโคลงศีรษะเบาๆรับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“เขียนไม่เป็นหรอก เลยใช้เกล็ดแทนหมึก…ต้องเอาไปส่องกลางแดดถึงจะเห็น”
แล้วก็เงียบไป ปล่อยให้ประโยคนั้นลอยจากไปพร้อมกับเสียงกิ่งไผ่ไหวเบาๆ
“แล้ว…เธอล่ะ“
“เขียนคำอธิษฐานไว้หรือยัง”
ถามต่อคล้ายจะชวนอีกฝ่ายคุย
"สวัสดีครับ แต่รุ่นพี่ชื่ออะไรนะครับ"
ตัวของเขาเหมือนจะจำชื่อรุ่นพี่ไม่ได้นะสิ
ก่อนจะทำหน้าแบบซื่อบื้อใส่
นัยตาสีทมิฬหลุบลงครู่นึงก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองไปยังเสียงปริศนาที่ดังขึ้นใกล้ๆ
มุมปากที่เปื้อนยิ้มเช่นทุกคราขยับยกขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อยแม้รอยยิ้มนั้นจะดูไม่เป็นมิตรเลยก็ตามที
คิก...
"อะไรเนี่ย..."
"มาถามชื่อคนอื่นทั้งๆที่ยังไม่บอกชื่อของตัวเองแบบนี้..."
+
"ไร้มารยาทดีนะ~♡"
ศรีษะโคลงซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนหันตัวเข้าหาคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"อืม...เพราะฉันเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันน่ะ~ คิก-"
ตัวของก้มหัวขอโทษ
"แต่รุ่นพี่เนี่ยดูเป็นคนจริงจังดีนะครับ"
"ผมริวซากิโควกะครับ"
"ว่าง่ายดีนี่นา~♡"
รู้สึกเหมือนกำลังแกล้งลูกสุนัขอยู่ไม่มีผิด...
คิก...
"ซาซางาวะ...เคียวโกะ"
รอยยิ้มบางคลี่ยิ้มออกมาแต่มันกลับดูไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่...
"ถ้าคำว่าจริงจังของนายคือการบอกว่าผิดปกติล่ะก็...อาจจะใช่ก็ได้~"
"ก็ไม่นะครับ"
เจ้าตัวยิ้มตอบกลับไปแบบเป็นมิตร
"ตอนนี้ก็ปกตินะครับรุ่นพี่อาจจะแค่แปลกในสายตาคนอื่นก็ได้'
"ส่วนผมมองว่ารุ่นพี่ดูแล้วเป็นคนมีสเน่ห์นะครับ"
"ไม่เหมือนใครดี"
สุนัขที่กลบกลิ่นอายจนสิ้นย่างเข้าหาจากข้างหลัง ก่อนจะโน้มหน้าลงทักจากด้านข้างด้วยยิ้มตาตี่ประจำตัว
“แล้วของเคียวโกะจังน่ารักเหมือนกันหรือเปล่าเอ่ย~?”
เหมือนวันนี้จะเจอแต่เรื่องให้อารมณ์ไม่ดีซะได้
"ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้"
เธอเบี่ยงสายตาเหล่มองชายหนุ่มที่อยู่ดีๆก็โผล่ออกมาจากฝูงคนพร้อมกับรอยยิ้มเฉกเลยทุกครา
"ถ้าจะมีอะไรที่น่ารักสำหรับฉันตอนนี้ ก็คงขอเป็นได้เผาต้นไผ่พวกนี้..."
ไหวไหล่เบาๆด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
หัวเราะสบายอารมณ์ตอบประโยคที่ดูสมเป็นอีกฝ่าย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดูจะหงุดหงิดตลอดจริงๆ ในยามปกติ
“วันนี้แต่งตัวซะสวยเลยนะ แค่ทานาบาตะแท้ๆ“
ทักชุดที่เธอสวม เทียบกับหลายคนที่แต่งสวยหล่อมาซะน่าดูชม เขาเพียงแค่ใส่ฮาโอริสีดำทับเสื้อยืดขาและกางเกงขายาวคีบแตะง่ายๆ
โดนยัยตัวดีจับแต่งตัวมานี่สิ
ปรายตามองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยัน
“แล้วนั่นอะไร ฮาโอริทับเสื้อยืด? จะไปซื้อของหน้าปากซอยรึไง?”
พูดพลางยกมือขึ้นปัดผมผมอย่างลวกๆ เสียงต่างๆที่ดังคลออยู่รอบตัวยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดทุกอย่างยิ่งกว่าเดิม
"ถ้าไม่ติดว่ามีโมจิถั่วแดงร้านนั้น ฉันคงไม่ยอมเดินเบียดคนให้เมื่อยหรอก”
ยิ้มชิลไม่อะไรมากกับท่าทีหยาบคายของอีกฝ่าย ใจจริงอยากลองต่อยหน้าให้เปลี่ยนโหมดดู แต่อยู่ที่คนเยอะแบบนี้คงไม่ดี
....ทุบๆ ให้เปลี่ยนช่องนี่ยังกะทีวีเก่า
คิดอยู่ในใจไม่แสดงออกทางสีหน้า
“แล้วได้กินยัง?”
ถามถึงโมจิที่ว่า
ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะเหลือบมองเขาอย่างหงุดหงิดปนเหนื่อยใจ
“ไม่เข้าใจพวกชอบเดินงานเทศกาลเลยร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ ของก็แพง”
ปากบ่นไปงั้นยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จริงๆตามหลักวันนี้เธอก็ไม่กะมาแล้วด้วยซ้ำถ้าเพื่อนตัวดีของเธอไม่ชวนออกมา
“แต่ก็นั่นแหละ ไปทำกรรมอะไรไว้กันนะ”
งึมงำเสียงเบาพลางเหล่ตามองคนใกล้ๆ
“นายล่ะ แอ้วสาวได้ยัง?”