#KMI_Kenkoushindan
#KMI_เปิดโรล | 19.30น. | โกงสภาพอากาศ | แยกรูท
.
ราตรีที่กำลังมืดครึ้ม วันนี้ดูท่าจะมีฝนตกพรำๆ ตกลงมาแล้ว
เซียวมะกางร่มมากางเดินตามทางหลังจากเลิกงานที่โรงเรียนเสียดึกพอควร หากแต่เสียงฟ้าร้องและเม็ดฝนกระทบ ทำให้เขาราวหลุดภวังค์ ตัดสินใจลดร่มลง ให้ม่านพิรุณชะโลมเรือนร่างให้เปียกทั้งตัว
สายตาสีไม้เอลเดอร์ของเขา ดูมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย
#KMI_เปิดโรล | 19.30น. | โกงสภาพอากาศ | แยกรูท
.
ราตรีที่กำลังมืดครึ้ม วันนี้ดูท่าจะมีฝนตกพรำๆ ตกลงมาแล้ว
เซียวมะกางร่มมากางเดินตามทางหลังจากเลิกงานที่โรงเรียนเสียดึกพอควร หากแต่เสียงฟ้าร้องและเม็ดฝนกระทบ ทำให้เขาราวหลุดภวังค์ ตัดสินใจลดร่มลง ให้ม่านพิรุณชะโลมเรือนร่างให้เปียกทั้งตัว
สายตาสีไม้เอลเดอร์ของเขา ดูมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย
Comments
" ขอโทษทีเซียวมะคุง "
" ทางนี้ตาล้ามากเลย "
เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นน้องที่สนิทสนมคุ้เคยกันก็ทักอย่างเป็นมิตร ยังไม่วายเอนร่มแบ่งพื้นที่ให้อีกคนด้วย
" เดี๋ยวจะป่วยเอานะครับ "
"ไม่เป็นไรครับ" เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มให้
"เหนื่อยหน่อยนะครับ ต้องคุมทั้ง 2 ชั้นปี เนื้อหาคงตีน่าดู ไม่ไหวยังไงก็บอกให้ผมเข้าสอนแทนได้นะ"
ได้ยินคำเอ่ยเป็นห่วงแบบนั้นก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้
"อะไรล่ะครับนั่น ผมไม่เคยป่วยมาก่อนคุณก็รู้นิ"
ทาคาฮิโระหัวเราะ ก่อนที่จะหยิบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกคน
" ยินดีเลยครับถ้าจะมาสอนแทน "
" เซียวมะคุงยืนคิดอะไรอยู่หรอครับ? "
ทาคาฮิโระเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย จะว่าแปลกหรือก็อาจจะไม่ขนาดนั้นที่คนเราจะเหม่อจนลืมสนใจรอบข้าง
ไม่นับเพื่อนสนิทเหลี่ยมหักดอกทุกทบต้นนั่นนะ
”อืม...“
”เรื่องที่เคยเกิด“
”ในวันฝนตกแบบนี้น่ะ“ตรงตัวแต่ไร้คำขยาย
+
แววตาของเขาดูเปี่ยมไปด้วยความว่างเปล่า และเดียวดาย
“บางทีก็มีความคิดว่า จะคอยหลบหรือกางร่มทำไม ในเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องตัวเปียกอยู่ดี...”
“บรรยากาศดู...”
“มืดดีนะ”
ทาคาฮิโระมองรุ่นน้องแล้วก็ขมวดคิ้วหน่อยๆ เซียวมะเป็นแบบนี้ไม่บ่อยนัก ทาคาฮิโระเองก็ไม่อยากจะให้อีกคน้หม่อลอยฟุ้งซ่านเท่าไหร่ ในฐานะรุ่นพี่ที่ดีก็จะต้องดูแลรุ่นน้องไม่ให้เกิดความทุกข์สิ!
" ไปดื่มกัน "
" ผมเลี้ยงเอง "
ทาคาฮิโระตบที่บ่าของอีกคนเบาๆพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ภายใต้ความมืดและสายฝนนั้นหากคุณรับรู้ถึงสิ่งลี้ลับได้คุณอาจจะมองเห็นมัน
คันนุชิชุดดำที่มีผ้าสีดำบางปิดบังใบหน้าเขาสวมเกี้ยะและถือตะเกียงเดินมา...
แต่หากคุณรับรู้ได้เะยเล็กน้อยคุณจะได้ยินเสียงเกี้ยะเดินมาทางคุณ
แต่หากคุณไม่สามารถรับรู้ได้มันจะมีเพียงดสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มในเสื้อกันฝนที่คุณคุ้นเคย
"เซนเซย์?"
โฮตารุเหมือนจะเดิมตามเสียงเกี้ยะมาจากภูเขานะ
กระนั้นไซร้ ตัวเขายังคงจับจ้องมองแต่ม่านพิรุณที่ตกพร่ำจากฟากฟ้า และเสียงเดินเด็กหนุ่มชัดเจนขึ้นมาทำให้สายตาสีไม้เอลเดอร์ลอบมองตามจนพบว่าเป็นใคร
“... อ้าว ว่าไง อามาโนะคุง” ครูเลขทักทายแต่ไม่มีทีท่าจะกลับมากางร่มตามเดิม
โฮตารุถามออกมาเขาไปเที่ยวเล่นบนเขาเลยพึ่งลงมาเพราะฝนตก
แต่เพราะมืดเขาเลยต้องอาศัยภาพที่เขาเห็นตะเกียงที่ลอยอยู่กับเสียงเกี้ยะในการนำทางออกมาจากภูเขา
“มันก็คงเหมือน เรามาเล่นกับฝนแบบวัยเด็กวันวานล่ะมั้ง“ คำตอบมันดูกว้างไปเสียหน่อย หรือแม้แต่มันดูเป็นไปได้ แต่ก็ดูไม่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ในเวลานี้เสียเท่าไร
”แล้วเราล่ะ มืดแล้วยังไม่กลับบ้านหรือไงเรา?“
"ไม่ค่อยอยากกลับไปบ้านน่ะครับ...ก็เลนไปเดินเล่นบนเขาแต่เพราะฝนเลยต้องรีบกลับออกมาน่ะครับ"
เพราะการอยู่บนเขาทั้งที่ฝนตกไม่ใช่เรื่องที่ดีนัป
”รีบออกมาจากเขาน่ะดีแล้ว กลางคืนในที่ที่ไม่มีคนน่ะ อันตรายนะ“
“วันหลังเป็นไปได้ก็อย่าไป หรือควรมีเพื่อนไปด้วยจะดีกว่านะ”
“อะไรที่คาดไม่ถึงมักเกิดได้ทั้งนั้น”
“ เซียวมะซัง ยืนตากฝนแบบนี้ ”
“ ระวังจะเป็นหวัดนะครับ ”
อาจจะเพราะด้วยความที่เป็นอาจารย์พยาบาล เลยมีการทักด้วยความเป็นห่วง
“ .. ”
“ แต่มายืนตากฝนแบบนี้ คิดอะไรอยู่หรอครับ ”
"... ถ้าเป็นหวัดได้ก็ดีสินะ ซาโตชิเซนเซย์" เหมือนรอบนี้จะบังเอิญพูดถูก แต่อีกนานแค่ไหนกันนะ?
พอถูกถามเจ้าตัวก็ยังคงยืนในท่าเดิม ปล่อยความคิดและใจไปกับความเย็นและความเปียกชื้นของฝนที่คอบตกพรำบนร่างกายและเนื้อผ้าอาภรณ์หนาของสูท
"คิดถึงเรื่องในอดีต"
+
"บางครั้งคนที่ร้องไห้ไม่ออกก็คงใช้วิธีพวกนี้ในการฉโลมความเศร้าอยู้ร่ำไปล่ะมั้ง" เป็นการเล่าที่ไม่บอกทั้งหมดแต่ก็พอให้รู้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง และมันเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่คนจะตากฝนในวันที่เศร้า
กลับกันเขาเลือกที่จะยืนกางร่มให้ บัดนี้อาจารย์ทั้งสองอยู่ใต้กำบังของร่ม
เขายืนสดับรับฟังด้วยหน้าที่ของผู้ฟังที่ดี
“ เซียวมะซังนี่ อารัมภบท เจ้าบทเจ้ากลอนกว่าที่ผมคิดนะ ”
เขาเอ่ย ก่อนจะเอียงองศาร่มให้เขาพอเงยหน้ามอง
“ เรื่องอดีต..ยังคงตรากตำในใจคุณงั้นสินะ ”
รอยยิ้มยังคงประดับบนหน้า ช่างเป็นคนที่ยิ้มได้ทุกสถานการณ์จริงๆ
โทยะซึ่งเพิ่งซ้อมบาสเสร็จหอบหิ้วร่มคันโตกับกระเป๋านักเรียนเตรียมกลับหอ กลับต้องหยุดเท้าลงเมื่อผ่านมาเห็นคนผู้หนึ่งยืนนิ่งรับความเปียกปอนประหนึ่งกำลังถ่ายทำฉากโศกสลด
แม้ความสามารถในการจดจำใบหน้าคนจะต่ำเตี้ยจนน่าอดสู ทว่ากับ ‘อาจารย์ประจำชั้น‘ ของตนแล้ว จะบอกว่าจำไม่ได้ก็คงจะอนาถาจนเกินไป
+
“พรุ่งนี้จะลารึเปล่าครับ”
...ประโยคซึ่งปราศจากความเป็นห่วงเป็นใยใดๆ และเห็นได้ชัดว่าเตรียมพร้อมอย่างยิ่งที่จะโดดเรียน
แต่ต่อให้คุณมาสอนตามปกติ เขาก็คงจะโดดเรียนเหมือนเดิมอยู่ดี
ไม่แตกต่างกัน
”เสียใจด้วยนะ ต่อให้เซนเซย์คนนี้จะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็ไม่ถึงขนาดต้องลาพักหรอก“ คนดวงแข็งแบบเขาไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก
”แล้วเราล่ะทำไมยังไม่กลับ?“
การที่คุณโต้ตอบกลับจึงหมายความได้สองแบบ
หนึ่งคือคุณประสาทรับรู้ดีเหนือมนุษย์มนา
หรือไม่...ก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็น ‘ใคร’
“ซ้อมบาสครับ”
เอ่ยตอบห้วนสั้น ดังพอจะได้ยินผ่านเสียงสายฝนตกกระทบ
“การตากฝนเป็นเคล็ดลับในการทำงานเหรอครับ“
+
อนุมานได้กระมัง ว่านักเรียนด้านหลังคุณคงไม่ใช่เด็กดีที่คิดเป็นห่วงเป็นใยสุขภาพของผู้เป็นอาจารย์สักเท่าไหร่
พลางหันมาดูหน้าตาของนักเรียนให้ชัดๆ เพื่อดูว่าเป็นใคร เพราะเสียงนักเรียนกับกลุ่มครูค่อนข้างต่างพอสมควรรวมถึงสำนวนการพูด ทำให้เขาเดาได้ว่าเป็นนักเรียนทันที
และด้วยกิตติมาศักดิ์ครูเลข(?) เขาเลยมักเหมานักเรียนทุกคนเป็นนักเรียนของเขาโดยปริยายอยู่แล้วทุนเดิม
+
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเมื่อรัตติกาลเข้ามาเยือน ตามด้วยเสียงคำรามของสายฟ้าที่มาพร้อมหยาดฝน
รองเท้าหนังสีดำขลับย่ำลงบนแอ่งน้ำจนเกิดเสียงตามจังหวะก้าวเดิน โนกามิถือร่มหนึ่งคันและกระเป๋าหนึ่งใบไว้ในมือ แม้ฝนจะเบาลงแล้วแต่ก็ยังตกปรอย ๆ
ตอนนี้นับเป็นเวลาดึกมากแล้วสำหรับการเลิกงานและเขาไม่คิดว่าจะมีใครวนเวียนอยู่ใกล้โรงเรียนเหมือนกันกับเขา
+
.
.
.
“หากจ้องมองฝนเป็นเวลานานมากพอและปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับมัน คุณจะพบว่าร่างกายเริ่มผ่อนคลายลง พาเราหลุดลอยห่างจากความเป็นจริงที่ผูกมัดอยู่รอบตัว เพราะสายฝนนั้นมีพลังในการกล่อมเกลา”
เสียงกล่าวราวบทกวีดังขึ้นจากด้านหลังชายที่ยืนอยู่กลางสายฝนพรำ
+
โนกามิหยุดยืนตรง เขาเว้นระยะห่างไม่เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้เงาของร่มสีแดงทำให้ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเขาได้
“เห็นด้วยกับมันไหม โอวโนะเซนเซย์”
เสียงสนทนาที่เอ่ยอย่างเจ้าบทเจ้ากลอนทำให้ดวงตาสีไม้เอลเดอร์กวาดมองตามต้นเสียงแต่ไม่ได้เอี้ยวหันมองโดยตรง นอกจากรับรู้เงาที่ทอดผ่าน และเสียงอันเอกลักษณ์ของคู่สนทนา แค่นี้ก็เพียงพอให้รู้ว่าคนนั้นคือใคร
“นั่นสินะ...”
“...”
“โทโมะเซนเซย์(?)“ ครับ เรียกผิด...
+
”แต่มองฝน กับสัมผัสฝน มันมีความแตกต่างอยู่นะ“
”การมองคือจินตนาการ“
”แต่หากสัมผัสจะรู้สึกเหมือนคงามทรงจำไหล่ผ่าน อาจจะเหมือนกีบคำพูดที่ว่า...“
”น้ำ คือ สิ่งที่หลอมรวมทุกคงามทรงจำ กระมั้งนะ“
โนกามิยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวรูปสลักหิน หากไม่นับบทสนทนาของทั้งคู่แล้วรอบข้างมีเพียงเสียงของสายฝนที่ตกลงมากระทบพื้นผิวเบื้องล่าง ดังคลอราวดนตรีบรรเลงเป็นฉากหลังให้กับการพบกันของทั้งคู่
“ในทางศิลปะ อาจกล่าวได้ว่าสายน้ำนั้นเก็บร่องรอยของสิ่งที่มันสัมผัสผ่านมา โอบอุ้มสิ่งต่าง ๆ ไว้ในตัวมันเหมือนบันทึกของอดีตและความทรงจำ”