permafrostseer.bsky.social
Promise me you won’t cry again.
159 posts
125 followers
17 following
Regular Contributor
Active Commenter
comment in response to
post
เขาเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน แต่ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปยังคนข้างกาย แทนที่จะเป็นภาพอันงดงามเบื้องหน้า
“เช่นนั้นก็จดจำภาพในครานี้ไว้เสีย…”
“ข้าเองก็จักจดจำไว้มิให้มันเลือนจางไป…”
comment in response to
post
“สองความปรารถนา ย่อมแรงกล้ากว่าเพียงหนึ่ง”
เขามองโคมกระดาษที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นไป สลับกับใบหน้านวลผ่องใต้แสงจันทร์และแสงจากดวงไฟที่สาดส่องลงมา
“มันคงจะต้องเป็นจริง…ข้าเชื่ออย่างนั้น”
comment in response to
post
“ด้วยโคมลอยมากมายขนาดนี้ ท่านคงจะได้ยินคำขอของเจ้าแล้ว…”
เขาเอ่ยไปเช่นนั้น แม้ไม่อาจรู้เลยว่าแอสตร้าเคยฟังคำขอพรจากมนุษย์บ้างหรือไม่
“แต่หากแม้ท่านจะไม่ได้ยิน ข้าก็รับรู้แล้วหนา…”
comment in response to
post
เขาหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นลวดลายบนโคมลอย ช่างน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนาง
แม้ไม่ได้เอ่ยคำชมออกไปตรง ๆ แต่สายตาที่มองหญิงสาวก็บ่งบอกว่าเขาชื่นชมนางแค่ไหน
มือที่สวมถุงมือจับประคองโคมลอยฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว เตรียมปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เช่นนั้น…คำอธิษฐานของข้าก็คือ ขอให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง”
comment in response to
post
“อืม…ช่างดูมีเอกลักษณ์สมกับเป็นเจ้า”
เขาเอ่ยในขณะที่มือเอื้อมไปจับขอบล่างของโคมลอยฝั่งตรงข้ามกับนาง เตรียมปล่อยมันให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ใบหน้าของเขาแต้มด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองสบตา
“ข้าคงมิต้องกล่าวคำอธิษฐานซ้ำ…เมื่อเราปรารถนาสิ่งเดียวกัน”
comment in response to
post
เขามองรอยยิ้มบนใบหน้านวลแล้วก็พลันยิ้มตาม ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าเองก็ชอบเช่นกัน…”
แต่เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว เขากลับหันไปมองท้องฟ้าทั้งเดิม แสร้งทำเป็นว่าคำชมนั้นเขามอบให้กับดวงไฟบนฟ้า
comment in response to
post
“เกรงว่าข้าจะไม่มีสิ่งใดให้อธิษฐาน…”
แม้กล่าวเช่นนั้น แต่สองมือก็จับขอบล่างของโคมลอยเอาไว้ ในขณะนั้นเอง ความปรารถนาที่ไม่เคยมีมาตลอดหลายร้อยปี ก็ปรากฏขึ้นมาในใจ
‘ข้าปรารถนาจะอยู่คู่เคียงกับนางตลอดไป…’
เขาไม่ได้เอ่ยมันออกมา และไม่ได้ปรารถนาให้มันส่งไปจนถึงแอสตร้า ได้แต่เพียงหวังอยู่ลึก ๆ ในใจเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว สองแขนก็ยกขึ้นเพื่อปล่อยโคทแห่งความปรารถนาขึ้นสู่ฟ้าไป
comment in response to
post
เขาคลี่ยิ้มออกมาอีกครา ก่อนที่มือทั้งสองจะจับขอบด้านล่างของโคมลอยเอาไว้ เตรียมส่งมันขึ้นสู่นภา
เปลือกตาทั้งสองปิดลง เป็นอันรับรู้ว่าเขากำลังเอ่ยขอพรในใจ มิได้เอ่ยมันออกมาเป็นคำพูด
เมื่อขอพรจนจบ สองแขนจึงยกขึ้นส่งให้โคมมนตราล่องลอยสูงขึ้นไปจนลับสายตา
ถ้าหากข้าขอมีนางอยู่เคียงกายตลอดไป คงไม่มากเกินไปดอกหนา…
comment in response to
post
“อืม…งดงามเชียว”
เขาเอ่ยชม พร้อมรอยยิ้มที่แต้มจาง ๆ บนมุมปาก
แต่เมื่อหญิงสาวเป็นผู้เสนอให้เขาเป็นฝ่ายอธิษฐาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นฉงน ก่อนที่จะส่ายหน้าช้า ๆ เป็นการปฏิเสธ
“ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะร้องขอต่อแอสตร้าดอก…”
comment in response to
post
“เป็นหิมะที่ดูพิลึกนัก…แต่ก็พออนุมานได้ว่ามันคือเจ้ากับข้า”
แม้ไม่ได้เอ่ยชม แต่ริมฝีปากของเขาหยักเป็นรอยยิ้มในขณะที่พินิจมองภาพวาดบนโคมกระดาษ บ่งบอกว่าเขาชื่นชมมันเพียงไร
เขาเพียงแค่ยืนนิ่งไม่พูดจา ฟังนางอธิษฐาน
ถ้าหากเขาจะอธิษฐาน…ก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือขอให้คำอธิษฐานของนางเป็นจริง…
comment in response to
post
จากที่คิดว่าวันนี้พระเจ้าคงมิได้ประทานโชคให้ ก็ได้รู้แล้วว่าเขาได้พบกับโชคที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าโชคจากฟ้าสวรรค์เข้าแล้ว…
comment in response to
post
เมื่อหล่อนได้ทราบชื่อของบุรุษตรงหน้าตามที่ปรารถนา ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกมา
”เซน…ฉันจะจำชื่อนี้ไว้อย่างดีเลย“
”แล้วเอาไว้ฉันจะบอกชื่อของฉันให้คุณรู้ เมื่อเราได้พบกันครั้งหน้านะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซนก็ยิ้มออกมา
เขามั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรเชียว ว่าคำพูดนั้นจะต้องเป็นคำสัญญาว่าเขาและหล่อนจะต้องได้มาพบกันอีกในไม่ช้าก็เร็ว…
comment in response to
post
ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกัน ต่างฝ่ายต่างซ่อนความเว้าวอนเล็ก ๆ เอาไว้ ราวกับว่าความคิดในใจนั้นตรงกัน
อยากให้ช่วงเวลาที่ได้อยู่ชิดใกล้นั้นยาวนานกว่านี้อีกสักหน่อย…
แต่ก่อนที่จะได้ร่ำลา หญิงสาวก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
”ฉันขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้หรือไม่?“
ผู้ที่ถูกเอ่ยถามแสดงสีหน้าฉงนออกมาครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมเอ่ยนามของตนไปอย่างไม่คิดปฏิเสธ
”เซน…“
comment in response to
post
หนุ่มสาวทั้งคู่เดินเรื่อยมาตามทางอย่างไม่รีบร้อน แลกเปลี่ยนบทสนทนาซึ่งกันและกัน แลกวาจา แลกสายตา จนความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ ก่อขึ้นมาในใจ
ตลอดชีวิตที่มีมายี่สิบเจ็ดปี…วันนี้คงเป็นวันแรกที่รู้สึกว่าดวงใจมันพองคับอกได้ถึงเพียงนี้
และแล้วทั้งคู่ก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์ เส้นทางที่เดินร่วมกันได้สิ้นสุดลง บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องร่ำลากันแล้ว
“คงต้องลากันตรงนี้แล้วหนา…”
”ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ“
comment in response to
post
“หากคุณจะกลับไปที่โบสถ์ ก็ให้ฉันช่วยถือจะดีกว่าค่ะ อย่างไรฉันก็จะต้องเดินกลับไปทางนั้นอยู่แล้ว”
เขายังไม่ทันตั้งตัวได้ดีนัก ราวกับสติได้หลุดลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็มิอาจรู้ แต่เขาก็ยังรู้ว่าไม่ควรปฏิเสธน้ำใจในครั้งนี้
“ขอบคุณครับ”
…
comment in response to
post
“จำได้ซีคะ คุณเล่นเปียโนเก่งออกปานนั้น ฉันละสายตาไม่ได้เลย ยังนึกอยู่เลยว่าเผลอมองมากเกินไปจนเสียมารยาทหรือเปล่า“
ประโยคคำชมนั้น จะว่าทำให้ใจพองโตก็คงใช่ หากแต่มันก็ยิ่งทำให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำมากกว่าเดิม
แลเมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาตอบโต้จากนักดนตรีหนุ่มมีเพียงยืนนิ่งและอ้ำอึ้งอยู่แบบนั้น หล่อนก็หัวร่อออกมาอีกครั้ง ก่อนจะถือวิสาสะฉวยเอาขนมปังถุงหนึ่งที่เขาโอบไว้ในอ้อมแขนมาถือไว้เสียเอง
comment in response to
post
ใช้เวลาอยู่นานเชียว กว่าเขาจะหาเส้นเสียงของตนพบ
”ขอบคุณครับ…“
หล่อนยิ้มให้เขารับคำขอบคุณนั้น ช่างดูเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดวงตะวันเหนือหัว จนเขาต้องเบนสายตาหลบหนี
“คุณซื้อขนมปังพวกนี้กลับไปที่โบสถ์หรือคะ?”
คำถามนั้นทำให้เซนต้องหันกลับมามอง พร้อมทั้งกะพริบดวงตาช้า ๆ
“คุณจำผมได้ด้วยหรือ…?”
การตอบคำถามด้วยคำถามเช่นนั้น ทำให้เจ้าหล่อนยกมือขึ้นปิดปากพร้อมทั้งหัวร่อออกมาเบา ๆ
comment in response to
post
เธอคือหญิงสาวที่เขาได้สบตาในโบสถ์เมื่อวันนั้น…
ราวกับว่าสมองของเขาหยุดการประมวลผลไปแล้ว ในตอนที่ได้ยินหล่อนเอ่ยขออนุญาตเบา ๆ ก่อนที่จะเขย่งตัวขึ้นเพื่อสวมหมวกใบนั้นกลับคืนยังตำแหน่งเดิม แล้วจึงก้าวถอยออกมาเล็กน้อย
เซนรู้สึกว่าดวงใจในอกเต้นแรงเสียจนเขาสามารถได้ยินมันทุกจังหวะ รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวราวยืนอยู่หน้าเตาไฟที่กำลังลุกโชน
comment in response to
post
แต่วันนี้พระเจ้าคงไม่ได้ประทานโชคให้เขามากนัก เมื่อหมวกที่สวมอยู่ถูกลมพัดปลิวออกจากศีรษะก่อนจะร่วงตกลง เขาถอนหายใจออกมา นึกตำหนิโชคชะตาในใจว่าลำพังแค่ต้องหอบถุงขนมปังเสียจนเต็มสองมือ คงยังลำบากไม่พอ
หากแต่ยังไม่แม้เพียงจะก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ หญิงสาวคนหนึ่งก็ย่อตัวลงเก็บหมวกที่น่าสงสารใบนั้น ก่อนจะเดินตรงมาหาเจ้าของหมวกที่บัดนี้ยืนนิ่งค้างไปเสียแล้ว
comment in response to
post
และทุกคราที่เบนสายตาไปหา ก็พบว่าหล่อนยังมองสบกลับมา ทุกหนที่เผลอมองจ้องนานเกินกว่าแปดวินาที หล่อนก็ยังคงคลี่ยิ้มให้อย่างงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์
เป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่เซนรู้สึกว่าดวงใจตนมิได้เป็นของตนอีกต่อไป…
comment in response to
post
ในเสี้ยวนาทีนั้นที่ดวงตาใสดุจลูกกวางหันมาสบตา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้านวล ดึงให้ดวงใจเต้นไม่เป็นส่ำ สติที่เคยมีพลันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนเผลอเล่นโน้ตผิดไปตัวหนึ่ง
เมื่อรู้ตัวว่าสติหลุดลอยไปไกลโข เขาจึงรีบดึงความสนใจกลับมาที่เปียโน แต่สายตาก็ยังไม่วายลอบมองไปที่เจ้าหล่อนเป็นระยะ
comment in response to
post
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่สองมือไล่ละเลงลงบนลิ่มขาวดำด้วยความตั้งใจ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ดึงความสนใจไปจากเขาจนความตั้งใจนั้นเกือบหลุดลอยไป
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็พบกับสตรีคนหนึ่งในท่ามกลางกลุ่มคนที่มาฟังคำเทศนา ดวงตากลมโต ประกอบเครื่องหน้าอันหวานหยดย้อย ทำให้เผลอจ้องมองจนแทบลืมตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่
comment in response to
post
ชีวิตของเขาเริ่มต้นจากการเป็นทารกห่อผ้าที่ถูกมารดาใจมารนำมาทิ้งไว้หน้าโบสถ์ กรรมของการกำพร้าพ่อแม่นั้นน่าเวทนา แต่นับว่าโชคยังดีที่ยังมีบาทหลวงใจบุญในโบสถ์นั้นชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ และได้ให้โอกาสเขาฝึกฝนดนตรีจนได้เป็นคีตกรประจำโบสถ์
เขานั้นแสนภูมิใจกับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดจึงบรรเลงคีตาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยความตั้งใจในทุกครั้ง
comment in response to
post
สัมผัสของหญิงสาวที่บ่งบอกว่ากายของทั้งคู่สามารถสัมผัสกันได้แล้วทำให้เขาประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่รอช้าที่จะสวมกอดเธอกลับ
“ในที่สุดผมก็สัมผัสคุณได้เสียที…”
เขาคลี่ยิ้มบางเบา และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“นับจากวันนี้ไป ผมก็หวังว่าคุณจะมีแต่ความสุขเช่นกัน…”
“ขอบคุณมากเลยนะ…แต่คงต้องลากันตรงนี้แล้วล่ะ”
comment in response to
post
“กอดลาสักครั้ง…คงไม่มากจนเกินไป”
“และหวังว่าในหนนี้ เราจะสัมผัสตัวกันได้…”
comment in response to
post
เขาหลับตาลงในขณะที่สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่กำลังลูบแผ่นหลัง พลันรอยยิ้มก็ค่อย ๆ คลี่ออกมา
“ผมมีความสุขแล้วล่ะ…”
“หากจากลากันแล้ว…ผมก็ปรารถนาให้คุณมีความสุขเช่นเดียวกัน”
comment in response to
post
เขายิ้มออกมาบาง ๆ ในขณะที่ลูบแผ่นหลังของเธอแผ่วเบาคล้ายการปลอบโยน
“เช่นนั้น คุณก็ต้องไม่เสียใจด้วยเช่นกัน”
“และอยากให้คุณรู้เอาไว้…ว่าผมไม่เคยปรารถนาท่วงทำนองอื่นเลย…”
comment in response to
post
เขาหลับตาลง ซึมซับไออุ่นจากคนในอ้อมแขน แม้ว่าตัวเขาจะมีเพียงไอเย็นมอบให้เธอ แต่เธอก็ยังไม่ได้ละทิ้งความปรารถนา
“ผมสามารถอยู่กับคุณตรงนี้ได้จนกว่าเวลาของผมจะหมดลง…”
comment in response to
post
เขาอ้าแขนโอบกอดหญิงสาวตอบ โดยที่ทั้งคู่ไม่คาดคิด ร่างกายของเขาและเธอสามารถสัมผัสกันได้อย่างน่าประหลาด
“ในที่สุดผมก็สัมผัสไออุ่นจากคุณได้เสียที…”
เขายิ้มออกมา และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ผมไม่รู้ว่าชีวิตในโลกหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ยังปรารถนาให้เราได้พบกันในสักวัน”
“และปรารถนาให้คุณมีความสุขกับชีวิตในโลกนี้…”
comment in response to
post
เขายิ้มออกมา และหลับตาลงในขณะที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…หรืออาจมากเกินพอเสียอีก”
“แต่ผมก็ขอเป็นคนโลภสักหน่อย…”
“ขอกอดคุณเช่นนี้ไปจนกว่าเวลาของผมจะหมดลงก็แล้วกัน…”
comment in response to
post
เขาคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เป็นรอยยิ้มที่แฝงความรู้สึกทั้งห่วงหาและอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่ต้องการให้การจากลานี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ผมเองก็มีเรื่องที่ต้องขอบคุณและขอโทษอีกมากมาย”
“หากชาติหน้ามีจริง…ก็หวังว่าผมจะมีโอกาสได้ชดเชยมันให้กับคุณ”
comment in response to
post
เขาพยักหน้า ก่อนจะเข้าไปสวมกอดเธอไว้อย่างแผ่วเบา ท่าทางของเขาดูไม่มั่นใจในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าเขาและเธอสามารถสัมผัสตัวกันได้ จึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“คงต้องจากกันตรงนี้แล้ว…”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมหวังว่าคุณจะมีความสุข และไม่ต้องมีน้ำตาอีก”
comment in response to
post
เขาเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังลังเล ก่อนจะเอ่ยตอบ
“หากนั่นเป็นความปรารถนาสุดท้ายก่อนเราจะจากลา ผมก็จะไม่ปฏิเสธ“
”หวังว่าเราจะสัมผัสตัวกันได้…“
comment in response to
post
“การละเล่นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นชินนัก…หวังว่าผมจะเข้าใจกติกาไม่ผิด”
เขายื่นมือที่กำออกไปตรงหน้า ซึ่งตามกติกา เขาถือเป็นฝ่ายแพ้
“นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม…?”
เขาค่อย ๆ เกิดเข้าไปสวมกอดหญิงสาว แม้จะดูไม่มั่นใจในทีแรก แต่เมื่อเห็นว่าสามารถสัมผัสตัวกันได้ ดขาก็กระชับกอดแน่นขึ้น
comment in response to
post
เมื่อรู้ว่าในหนนี้เขาและเธอสามารถสัมผัสตัวกันได้ เขาจึงหลับตาลง และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ผมรอคอยกอดนี้มานานมากแล้ว…”
“ขอบคุณจริง ๆ …”
comment in response to
post
เขาเดินเข้าไปหาอ้อมกอดนั้น ก่อนจะอ้าแขนโอบกอดเธอเอาไว้เช่นกัน ถือเป็นเรื่องดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เขาและเธอสัมผัสกันได้
“เช่นนั้น…คุณก็จะต้องเป็นคนที่มีความสุขยิ่งกว่าผม”
ว่าพลางกระชับกอดให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
“หากชาติหน้ามีจริง ก็หวังว่าผมจะพบท่วงทำนองประสานที่อัศจรรย์เช่นนี้อีก…”